อัลกรุอาน - แปลไทย
ความประเสริฐของความยากจน
"คนจน" อาจจะดูต่ำต่อยและไร้เกียรติในโลกนี้
แต่พวกเขาจะสูงส่งและมีเกียรติยิ่งกว่าคนรวยในโลกหน้า
ความจนคือ พื้นฐานชีวิตของท่านนบีมุฮำหมัด (ซ.ล)
ในสมัยที่อาณาจักรอิสลาม มีอาณาเขตกว้างขวางตั้งแต่ยะมัน (เยเมน) จรดซีเรียนั้น แต่บ้านของท่านนบีมูฮัมหมัด (ซ.ล) ศาสดาแห่งอิสลาม กลับมีเพียงเตียงนอนธรรมดาเตียงหนึ่ง กับถุงหนังสัตว์สำหรับใส่น้ำ ถุงหนึ่ง เท่านั้นเอง
บ่อยครั้งที่ท่านนบีต้องประสพกับความหิว
"ครั้งหนึ่งขณะที่ท่านนบียืนนำละหมาด ท้องของท่านก็ร้อง (เพราะความหิว) จนผู้ที่ยืนละหมาดตามหลังท่านได้ยิน"
จากท่านอิบนุอับบาซ ท่านได้กล่าวไว้ โดยมีใจความส่วนหนึ่งที่ว่า
“ในช่วงเวลาที่ร้อนจัดของบ่ายวันหนึ่ง (ซึ่งปกติ ท่านนบีและศอฮาบะฮฺจะนอนช่วงบ่าย ที่เรียกว่า “กอยลูละฮฺ” กัน) ท่านอบูบักรได้ออกมาเดินเตร่อยู่นอกบ้าน
เมื่อท่านอุมัรที่ออกมาเช่นกันได้มาเจอ จึงถามท่านอบูบักรว่า “อะไรทำให้ท่านออกมาในช่วงเวลานี้?”
ท่านอบูบักรตอบว่า “เพราะความหิวที่เกินจะทน”
เมื่อได้ยินท่านอุมัรจึงพูดว่า “ที่ฉันออกมาก็ด้วยเหตุผลเดียวกันนี้”
ทั้งคู่จึงเดินด้วยกันจนมาพบกับท่านนบี ท่านนบีได้ถามเหตุที่ท่านทั้งสองออกมาในช่วงเวลานี้ เมื่อได้ฟังคำตอบ ท่านนบีจึงพูดว่า “ขอสาบานต่อผู้ที่ชีวิตฉันอยู่ในพระหัตฐ์ของพระองค์ ที่ฉันต้องออกมาเดินข้างนอกในช่วงเวลานี้ก็ด้วยเหตุผลเดียวกันกับพวกท่านทั้งสอง” (เพราะความหิว)
ท่านนบีจึงพาท่านทั้งสองไปหาท่านอบูอัยยูบอัลอันศอรี ซึ่งปกติท่านนอบูอัยยูบมักจะมีอาหารไว้รอต้อนรับท่านนบี
เมื่อท่านอบูอัยยูบเห็นท่านนบี ท่านอบูบักร และท่านอุมัร ท่านดีใจมากและรีบเชิญแขกทั้งสามเข้าบ้าน
และนำอินทผลัมทั้งทะลายมาเลี้ยงแขก โดยท่านได้เลือกเอาทะลายที่มีอินผลัมที่อยู่ในช่วงระยะกินได้ที่หลากหลายมา มีทั้งอินทผลัมในช่วงบุซร (ช่วงที่มีรสฝาด คล้ายระยะมะม่วงดิบ) ในช่วงรุต้อป (มีรสหวานสด คล้ายระยะมะม่วงสุก) ในช่วงตะมัร (มีรสหวานเข้ม คล้ายระยะ ลูกเกต)” และท่านได้เชือดแพะ (หรือแกะ) มาย่างเลี้ยง เสริฟพร้อมกับ โรตีอาหรับ (แป้งแดงนวดกับน้ำ)
เมื่ออาหารถูกนำมาเสริฟท่านนบีได้ขอให้ท่านอบูอัยยูบจัดสำหรับส่วนหนึ่งไปให้ท่านหญิงฟาติมะฮฺ (ลูกสาวของท่านนบี) ด้วย เพราะนางเองก็ไม่ได้ทานอาหารอะไรมาหลายวันแล้วเช่นเดียวกับท่านนบี ท่านอบูบักร และท่านอุมัร
เมื่อท่านนบีทานอาหารเสร็จ ท่านก็ได้ร้องไห้ และพูดขึ้นมาว่า
“อาหารเหล่านี้ คือ ส่วนหนึ่งของความโปรดปราน (ที่พวกท่านได้จากอัลลอฮฺ) และพวกท่านจะต้องถูกสอบสวนถึงทุกความโปรดปรานที่พวกท่านได้รับ (ต่อหน้าพระองค์ในวันกิยามะฮฺ)”
(บันทึกโดยอิมามติรมิซี อิมามอบูยุอฺลา และอิมามอัลฮัยษะมี)
ท่านนบีรักความจนและรักการอยู่ร่วมกับคนจน
และท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ก็เคยขอดุอาอฮฺว่า :
أَللّهُمَّ أَحْيِنِىْ مِسْكِيْنًا , وأَمِتْنِىْ مِسْكِيِنًا , وَاحْشُرْ نِيْ فِى زُمِرًةِ الْمَسَا كِيْنِ
“โอ้ อัลลอฮฺ ขอทรงให้ข้าพระองค์มีชีวิตอยู่ในฐานะผู้ยากจน และขอทรงให้ข้าพระองค์สิ้นชีวิตในฐานะผู้ยากจน และขอทรงให้ข้าพระองค์ฟื้นคืนชีพในกลุ่มของผู้ยากจน” (รายงานโดย อัต-ติรมีซียฺ และอิบนุมาญะฮฺ)
และดุอาของท่านก็ถูกตอบรับ ท่านได้กลับไปสู่ความเมตตาของพระองค์อัลเลาะฮ์ในฐานะผู้ยากจน
ในวันที่ท่านสิ้นชีวิตเสบี่ยงอาหารที่เหลือติดบ้าน มีเพียงข้าวสารหนึ่งกำมือเท่านั้นเอง
คนจนจะได้เข้าสวรรค์ก่อนคนรวย 500 ปี (ครึ่งวันในโลกหน้า) ต่อให้คนรวยทำบุญซอดาเกาะมากมายแค่ใหน แต่ชีวิตของพวกเขาก็ไม่เคยประสบกับความลำบากยากแค้น อดมื้อกินมื้อเหมือนคนจน ในวันนั้น อัลเลาะฮ์จะตอบแทนความลำบากยากแค้นที่พวกเขาเคยประสบ ซึ่งผลบุญอันประเสริฐ และผลบุญตรงนี้ที่คนรวยไม่มี
ความประเสริฐของคนยากจน
ท่านศาสดามุฮัมหมัด(ซ.ล)กล่าวว่า : ในสวนสรรค์จะมีปราสาทๆหนึ่งอยู่ ที่ถูกสร้างมาจากหินยอกูตสีแดง(หินที่มีความสวยงามตระการตา) ซึ่งบรรดาชาวสววค์ทั้งหมดจะจ้องมองไปยังมัน เสมือนกับที่เรานั้นจ้องมองไปยังดวงดาวต่างๆที่ส่องแสงระยิบระยับอยู่บนฟากฟ้า ในปราสาทอันนี้จะไม่มีใครเข้าไปได้ เว้นแต่
-บรรดาศาสดาที่ยากจน
-บรรดาชะฮีดที่ยากจน
-และบรรดามุอ์มินที่ยากจน
ส่วนมากในสวรรค์คือ คนจน และส่วนมากในนรกคือ ผู้หญิง
อัลบุคอรีย์และมุสลิมได้รายงานในหนังสือซอเฮียะของท่านทั้งสอง จากหะดีษของอิมรอน รอฎิยัลลอฮูอันฮู แท้จริงท่านนบี ศ็อลลัลลอฮูอะลัยอิวะสัลลัม ได้กล่าวว่า
روى البخاري ومسلم في صحيحيهما مِن حَدِيثِ عِمْرَانَ رضي اللهُ عنه: أَنَّ النَّبِيَّ صلى اللهُ عليه وسلم قَالَ: "اطَّلَعْتُ فِي الْجَنَّةِ فَرَأَيْتُ أَكْثَرَ أَهْلِهَا الْفُقَرَاءَ، وَاطَّلَعْتُ فِي النَّارِ فَرَأَيْتُ أَكْثَرَ أَهْلِهَا النِّسَاءَ"[3].
“ฉันได้มองไปยังสวรรค์ และฉันได้เห็นส่วนมากของชาวสวรรค์คือ บรรดาคนยากจน และฉันได้มองไปยังนรก และฉันเห็นส่วนมากของชาวนรกคือ ผู้หญิง”
วัลลอฮฺอลัม.
ปล.อดทนนะผู้ศรัทธา ✌😊 💙
กิบลัตแรกของอิสลาม คือ "บัยตุลลอฮฺ"
"มัสยิดอัลอักซอ" มีความสำคัญทางประวัติศาตร์อิสลามมายาวนาน เช่นการ อิสรออ์ เมี๊ยะรอจของท่านนบี (ซ.ล) และเหตการณ์สำคัญๆอีกมากมาย
แต่เรื่องเกี่ยวกับมัสยิดอัลอักซอที่หลายคนยังเข้าใจผิดกันอยู่ คิดว่ามัสยิดอัลอักซอ คือ "กิบลัตแรก" นั้น
ความจริงแล้วอัลอักซอไม่ใช่กิบลัตแรก ตามที่หลายคนเข้าใจ แต่เป็นกิบลัตที่ตั้งขึ้นชั่วคราวเพื่อบทสอบมุสลิมในยุคนบีมุฮำหมัด (ซ.ล) เป็นการตั้งแค่ชั่วระยะเวลาสั้นๆแค่ปีกว่า (16-17 เดือน) เดิมๆกิบลัตคือ บัยตุลอฮ์ นั้นแหละ แต่อัลเลาะฮ์สั่งให้นบี (ซ.ล) ลองเปลี่ยนกิบลัตเป็นมัสยิดอัลอักซอ เพื่อทดสอบดูว่าใครจะตามนบีบ้าง บางคนคิดว่านบีคงเพี้ยนไปแล้ว ที่เปลี่ยนกิบลัตจาก "บัยตุลลฮ์" ที่เป็นกิบลัตมาอย่างยาวนาน มาเป็น"อัลอักซอ" เมื่ออัลเลาะฮ์สั่งเปลี่ยนกิบลัต ท่านนบีก็ไม่สบายใจ ท่านเฝ้าแหงนหน้ามองท้องฟ้าทุกวัน เพื่อรอวาฮีจากพระองค์อัลเลาะฮ์ ให้เปลี่ยนมาใช้บัยตุลลอฮ์เป็นกิบลัตดั่งเดิม จนในที่สุด อัลเลาะฮ์ลงโองการมาให้นบี ตั้งบัยตุลละฮ์เป็นกิบลัตดั้งเดิม สมดั่งใจท่านนบี (ซ.ล)
อัลกุรอาน: Al-Hajj (22:26)
وَاِذۡ بَوَّاۡنَا لِاِبۡرٰهِيۡمَ مَكَانَ الۡبَيۡتِ اَنۡ لَّا تُشۡرِكۡ بِىۡ شَيۡـًٔـا وَّطَهِّرۡ بَيۡتِىَ لِلطَّآٮِٕفِيۡنَ وَالۡقَآٮِٕمِيۡنَ وَ الرُّكَّعِ السُّجُوۡدِ
และจงรำลึกเมื่อเราได้ชี้แนะสถานที่ (ก่อสร้าง) บัยติลลาฮฺ แก่อิบรอฮีมว่า “เจ้าอย่าตั้งสิ่งใดๆขึ้นเป็นภาคีร่วมกับข้า และจงทำบ้านของข้าให้สะอาด สำหรับผู้ทำการตอวาฟทั้งหลาย ผู้ยืนละหมาด ผู้รุกัวะ และผู้สุญูด
*บัยตุลลอฺถูกกำหนดเป็นกิบลัตตั้งแต่ยุคนบีอิรอฮีมแล้ว ซึ่งตอนนั้น อัลอักซอยังไม่ได้ถูกสร้าง อัลอักซอถูกสร้างขึ้นในยุคนบียะโก๊บ
อัลกุรอาน: Aal-i-Imraan (3:96-97)
إِنَّ أَوَّلَ بَيْتٍ وُضِعَ لِلنَّاسِ لَلَّذِي بِبَكَّةَ مُبَارَكًا وَهُدًى لِلْعَالَمِينَ
แท้จริงบ้านหลักแรกที่ถูกตั้งขึ้นสำหรับมนุษย์ (เพื่อการอิบาดะฮ์) นั้นคือบ้านที่มักกะฮ์ (คือกะบะฮฺ) โดยเป็นที่ที่ถูกให้มีความจำเริญ และเป็นสิ่งนำทางแก่ประชาชาติทั้งหลาย
*อายะนี้ย้ำชัดว่าบัยตุลลอฮฺ คือ กิบลัตแรกของมนุษย์ชาติ
فِيهِ آيَاتٌ بَيِّنَاتٌ مَقَامُ إِبْرَاهِيمَ ۖ وَمَنْ دَخَلَهُ كَانَ آمِنًا ۗ وَلِلَّهِ عَلَى النَّاسِ حِجُّ الْبَيْتِ مَنِ اسْتَطَاعَ إِلَيْهِ سَبِيلًا ۚ وَمَنْ كَفَرَ فَإِنَّ اللَّهَ غَنِيٌّ عَنِ الْعَالَمِينَ
ในบ้านนั้น มีหลายสัญญาณที่ชัดแจ้ง (ส่วนหนึ่งนั้น) คือมะกอมอิบรอฮีม และผู้ใดได้เข้าไปในบ้านนั้น เขาก็เป็นผู้ปลอดภัยและสิทธิของอัลลอฮ์ที่มีแก่มนุษย์นั้น คือการมุ่งสู่บ้านหลังนั้น อันได้แก่ผู้ที่สามารถหาทางไปยังบ้านหลังนั้นได้และผู้ใดปฏิเสธ แท้จริงอัลลอฮ์นั้นไม่ทรงพึ่งประชาชาติทั้งหลาย
อัลกุรอาน: Al-Baqara (2:125)
وَإِذْ جَعَلْنَا الْبَيْتَ مَثَابَةً لِلنَّاسِ وَأَمْنًا وَاتَّخِذُوا مِنْ مَقَامِ إِبْرَاهِيمَ مُصَلًّى ۖ وَعَهِدْنَا إِلَىٰ إِبْرَاهِيمَ وَإِسْمَاعِيلَ أَنْ طَهِّرَا بَيْتِيَ لِلطَّائِفِينَ وَالْعَاكِفِينَ وَالرُّكَّعِ السُّجُودِ
และจงรำลึกถึงขณะที่เราได้ให้บ้านหลังนั้น (คือกะบะฮ์) เป็นที่แสวงบุญมาสำหรับมนุษย์และเป็นที่ปลอดภัยสำหรับมนุษย์ทั้งหลาย และพวกเจ้าจงเอาที่ยืนของอิบรอฮีม เป็นที่ละหมาดเถิด และเราได้สั่งเสียแก่อิบรอฮีม และอิสมาอีลว่า เจ้าทั้งสองจงทำความสะอาดบ้านของข้าเพื่อบรรดาผู้ทำการเฎาะวาฟ และบรรดาผู้ทำการเอียะติกาฟ และบรรดาผู้ที่ทำรุกัวะและสุยูด
อัลกุรอาน: Al-Baqara (2:142)
۞ سَيَقُولُ السُّفَهَاءُ مِنَ النَّاسِ مَا وَلَّاهُمْ عَنْ قِبْلَتِهِمُ الَّتِي كَانُوا عَلَيْهَا ۚ قُلْ لِلَّهِ الْمَشْرِقُ وَالْمَغْرِبُ ۚ يَهْدِي مَنْ يَشَاءُ إِلَىٰ صِرَاطٍ مُسْتَقِيمٍ
บรรดาผู้โฉดเขลา ในหมู่มนุษย์นั้นจะกล่าวว่า อะไรเล่าที่ทำให้พวกเขา หันออกไปจากกิบลัตของพวกเขา ที่พวกเขาเคยผินไป จงกล่าวเถิด(มุอัมมัด) ว่าทิศตะวันออกและทิศตะวันตกนั้นเป็นสิทธิของอัลลอฮ์เท่านั้น พระองค์จะทรงแนะนำผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ไปสู่ทางอันเที่ยงตรง
อัลกุรอาน: Al-Baqara (2:143)
وَكَذَٰلِكَ جَعَلْنَاكُمْ أُمَّةً وَسَطًا لِتَكُونُوا شُهَدَاءَ عَلَى النَّاسِ وَيَكُونَ الرَّسُولُ عَلَيْكُمْ شَهِيدًا ۗ وَمَا جَعَلْنَا الْقِبْلَةَ الَّتِي كُنْتَ عَلَيْهَا إِلَّا لِنَعْلَمَ مَنْ يَتَّبِعُ الرَّسُولَ مِمَّنْ يَنْقَلِبُ عَلَىٰ عَقِبَيْهِ ۚ وَإِنْ كَانَتْ لَكَبِيرَةً إِلَّا عَلَى الَّذِينَ هَدَى اللَّهُ ۗ وَمَا كَانَ اللَّهُ لِيُضِيعَ إِيمَانَكُمْ ۚ إِنَّ اللَّهَ بِالنَّاسِ لَرَءُوفٌ رَحِيمٌ
และในทำนองเดียวกัน เราได้ให้พวกเจ้าเป็นประชาชาติที่เป็นกลาง เพื่อพวกเจ้าจะได้เป็นสักขีพยานแก่มนุษย์ทั้งหลาย และร่อซูล ก็จะเป็นสักขีพยานแด่พวกเจ้า และเรามิได้ให้มีขึ้นซึ่งกิบลัตที่เจ้าเคยผินไป นอกจากเพื่อเราจะได้รู้ว่าใครบ้างที่จะปฏิบัติตามร่อซูล จากผู้ที่กำลังหันสันเท้าทั้งสองของเขากลับ และแท้จริงการเปลี่ยนแปลงกิบลัตนั้น เป็นเรื่องใหญ่ นอกจากแก่บรรดาผู้ที่อัลลอฮ์ได้ทรงแนะนำเท่านั้น และใช่ว่าอัลลอฮ์นั้นจะทำให้การศรัทธาของพวกเจ้าสูญไปก็หาไม่แท้จริงอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงกรุณาปราณี ผู้ทรงเมตตาแก่มนุษย์เสมอ
*เดิมกำหนดให้กะบะฮ์เป็นกิบลัต ต่อมาขณะที่ท่านนบี ซ.ล อพยพไปมาดีนะฮฺ ระยะแรกๆ อัลเลาะฮ์ได้กำหนดให้เอาบัยตุ้ลมักดิส ซึ่งตั้งอยู่ที่กรุงเยรุซาเลมเป็นกิยลัตติดต่อกัน 16-17 เดือน จึงเปลี่ยนให้ใช่กะบะฮ์เป็นกิบลัตตามเดิม.
อัลกุรอาน: Al-Baqara (2:144)
قَدْ نَرَىٰ تَقَلُّبَ وَجْهِكَ فِي السَّمَاءِ ۖ فَلَنُوَلِّيَنَّكَ قِبْلَةً تَرْضَاهَا ۚ فَوَلِّ وَجْهَكَ شَطْرَ الْمَسْجِدِ الْحَرَامِ ۚ وَحَيْثُ مَا كُنْتُمْ فَوَلُّوا وُجُوهَكُمْ شَطْرَهُ ۗ وَإِنَّ الَّذِينَ أُوتُوا الْكِتَابَ لَيَعْلَمُونَ أَنَّهُ الْحَقُّ مِنْ رَبِّهِمْ ۗ وَمَا اللَّهُ بِغَافِلٍ عَمَّا يَعْمَلُونَ
แท้จริงเราเห็นใบหน้าของเจ้าแหงนไปในฟากฟ้าบ่อยครั้ง (เพื่อรอรับวาฮีให้เปลี่ยนกิบลัตกลับมาอย่างเดิม) แน่นอนเราให้เจ้าผินไปยังทิศ ที่เจ้าพึงใจ ดังนั้นเจ้าจงผินใบหน้าของเจ้าไปทางมัสยิดิลฮะรอม (คือกะบะฮ์) เถิด และที่ใดก็ตามที่พวกเจ้าปรากฏอยู่ ก็จงผินใบหน้าของพวกเจ้าไปทางทิศนั้น และแท้จริงบรรดาผู้ที่ได้รับคัมภีร์ นั้นย่อมรู้ดีว่ามัน คือความจริงที่มาจากพระเจ้าของพวกเขา และอัลลอฮ์นั้นไม่ทรงเผลอในสิ่งที่พวกเขากระทำกัน
วัลลอฮฺอลัม.
ผีพุ่งใต้
ผีพุ่งใต้ เปลวเพลิงที่มาลักยิงใส่เหล่าญินที่แอบฟังมาลักพูดคุยกันบนฟากฟ้า มองดูคล้ายๆดาวตก
อัลกุรอาน: Al-Jinn (72:8-9)
وَأَنَّا لَمَسْنَا السَّمَاءَ فَوَجَدْنَاهَا مُلِئَتْ حَرَسًا شَدِيدًا وَشُهُبًا
และแท้จริงเรา(ญิน)ได้ค้นคว้าหาข่าว ณ ชั้นฟ้า แต่เราได้พบ ณ ที่นั่งเต็มไปด้วยยามเฝ้าผู้เข้มแข็งและเปลวเพลิง
وَأَنَّا كُنَّا نَقْعُدُ مِنْهَا مَقَاعِدَ لِلسَّمْعِ ۖ فَمَنْ يَسْتَمِعِ الْآنَ يَجِدْ لَهُ شِهَابًا رَصَدًا
และแท้จริงเรา(ญิน)เคยนั่ง ณ สถานที่นั่งในท้องฟ้านั้นเพื่อฟัง แต่ขณะนี้ผู้ใดนั่งฟังเขาก็จะพบเปลวเพลิงถูกเตรียมไว้สำหรับเขา
การขลิบหนวด ตามสุนัตของท่านนบี (ซ.ล)
การขลิบหนวด ตามสุนัตของท่านนบี (ซ.ล)
สังเกตมั้ย ทำไมชายชาวอาหรับถึงใว้ทั้งหนวดและเครา ไม่โกนหนวดเกลี้ยงและใว้เฉพาะเคราเหมือนมุสลิมไทยเรา ?
บางคนอาจคิดว่า ทำไมพวกเขาถึงไม่ตามสุนัตนบี ?
ความจริงแล้ว พวกเขาทำตามสุนัตนบีนั้นแหละครับ แต่พวกเราต่างหากที่เพี้ยนไปจากสุนัตนบี
ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น นั้นก็เพราะว่าพวกเขาเข้าใจความหมายของฮาดิษดีกว่าพวกเรา เขาเข้าใจคำว่า "ขลิบหนวด" ว่ามันคืออะไร เพราะเขาคือเจ้าของภาษา
"ขลิบ" คือการตัดตกแต่งให้สั้น พูดภาษาบ้านเราคือ การเล็มหนวดให้สั้น เพราะว่าหนวด ถ้าเราปล่อยใว้นานๆ มันจะยาวลงมาปกปิดปาก ทำให้ลำบากในการรัปทานอาหาร เลยมีการสั่งให้ขลิบตกแต่งบ่อยๆ แต่ไม่ใด้สั่งให้โกนเกลี้ยง และห้ามโกนจนเกลี้ยงด้วย เพราะหนวด คือ สัญลักษณ์ที่แสดงถึงความเป็นชาย อย่าเอาความเป็นชายออก จนไปเหมือนกันผู้หญิง เพราะผู้หญิงไม่มีหนวด
นับเป็นความโปรดปรานที่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทรงมีต่อบุรุษในบรรดาปวงบ่าวของพระองค์ โดยพระองค์ทรงทำให้มันเป็นความโดนเด่นของผู้ชาย เป็นสิ่งเเยกเเยะถึงความเเตกต่างระหว่างผู้ชายกับผู้หญิง อีกทั้งมันคือเครื่องประดับ เเละรัศมีบนใบหน้าของพวกเขา ด้วยเหตุนี้ศาสนาจึงกำชับอย่างเเรงกล้าให้บรรดาบุรุษได้ขลิบหนวดของเขาให้สั้น พร้อมทั้งปล่อยเคราของเขาให้ยาว
ดังที่ท่านนบีﷺได้กล่าวไว้ในหะดีษของท่านอิบนุอุมัร รอฎิยัลลอฮุอันฮุมา ว่า :
خالفوا المشركين قصوا الشوارب وأعفوا اللحى
ความว่า : จงทำให้เเตกต่างกับบรรดาผู้ตั้งภาคี จงขลิบหนวด(ไม่ใช่โกน)เเละจงไว้เครา
(บันทึกโดยอิหม่ามบุคอรีเเละมุสลิม)
และในหะดีษอีกบทหนึ่งของท่านอบูฮุร็อยเราะฮฺ รอฎิยัลลอฮุอันฮุ ท่านนบีﷺได้กล่าวว่า :
جزوا الشوارب وأرخوا اللحى خالفوا المجوس
ความว่า : จงขลิบหนวด (ไม่ใช่โกน) เเละไว้เครา จงทำให้เเตกต่างกับพวกบูชาไฟ
(บันทึกโดยอิหม่ามมุสลิม)
นอกจากนี้ ท่านอิบนุหัซมฺ ได้รายงานอิจมาอฺ(มติเอกฉันท์ของปวงปราชญ์)ว่าเเท้จริงการขลิบหนวดเเละไว้เครานั้น เป็นสิ่งจำเป็น(ฟัรฎู) โดยได้อ้างอิงหลักฐานจากหะดีษหลายๆบทด้วยกัน รวมทั้งหะดีษของท่านอิบนุอุมัร รอฎิยัลลอฮุอันฮุมา ที่ได้นำเสนอไปแล้วข้างต้น เเละนอกจากนี้ยังมีหะดีษของท่าน ซัยดฺ บิน อัรก็อม ที่ระบุว่าแท้จริงท่านนบีﷺได้กล่าวว่า :
"ผู้ใดที่ไม่เอาจากหนวดของเขา เขาไม่ใช่พวกของเรา"
หะดีษบทนี้ท่านอิหม่ามอัตติรมีซีได้ให้สถานะว่าเป็นหะดีษศอฮีหฺ โดยได้กล่าวไว้ใน"อัล-ฟุรูอฺ"ว่าสำนวนนี้ในทรรศนะของมัซฮับฮัมบะลีให้ความหมายในทางของการห้าม
ผู้ที่จะผ่านสะพานศิรอตอลมุสตะกีมอย่างปลอดภัย
สะพานศิรอตอลมุสตะกีม
ความหมายของสะพานศิรอตอลมุสตะกีม
สะพาน (อัศ-ศิร็อฏ) คือสะพานที่ถูกทอดผ่านนรกญะฮันนัม ในอัล-หะดีษใช้สำนวนว่า อัศ-ศิรอฏ (الصِّرَاطُ) และอัล-ญิสร์ (الجِسْرُ) ซึ่งแปลว่า สะพานหรือเส้นทางที่ใช้ข้าม ส่วนคำ อัศ-ศิรอฏ อัล-มุสตะกีม (اَلصِّرَاطُ المُسْتَقِيْمُ) นั้นหมายถึง หนทาง แนวทาง เส้นทาง วิถี หรือมรรคาอันเที่ยงตรง (ทางอันเที่ยงตรง)
สะพาน (อัศ-ศิรอฏ) ที่ถูกทอดผ่านขุมนรกญะฮันนัม นั่นคือสะพาน ส่วนศิรอฏ มุสตะกีม นั่นไม่ใช่สะพานแต่เป็นแนวทางของการศรัทธาและการปฏิบัติที่ถูกต้องเที่ยงตรง
ผู้ที่จะผ่านสะพานศิรอตฯ คือผู้ที่ปฏิบัติตัวอยู่ในแนวทางที่เที่ยงตรงเท่านั้น
แนวทางที่เที่ยงตรง คืออะไร ??
เที่ยง คือ "กลาง"
เที่ยงธรรม คือ "ความเป็นกลาง ไม่โน้มเอียงไปข้างหนึ่งข้างใด"
แนวทางที่เที่ยงตรง คือ "การใช้ชีวิตบนเส้นทางสายกลางได้อย่างพอดี"
การปฎิบัติตัวอยู่ในเส้นทางสายกลางเป็นยังไง ยกตัวอย่าง เช่น
การอ่านในขณะละหมาด
"และอย่ายกเสียงดังในเวลาละหมาดของเจ้า และอย่าลดให้ค่อยเช่นกัน แต่จงแสวงหาทางระหว่างนั้น (ปานกลาง)"
อัลอิสรออฺ (17:110)
การใช้จ่าย
"และบรรดาผู้ที่เมื่อพวกเขาใช้จ่าย พวกเขาก็ไม่สุรุ่ยสุร่าย และไม่ตระหนี่ และระหว่างทั้งสองสภาพนั้น พวกเขาก็อยู่สายกลาง"
อัลฟุรกอน (25:67)
การพูดสำหรับผู้หญิง
."หากพวกเธอยำเกรง (อัลลอฮฺ) ก็ไม่ควรพูดจาเพราะพริ้งนัก เพราะจะทำให้ผู้ที่ในหัวใจของเขามีโรคเกิดความโลภ แต่จงพูดด้วยถ้อยคำที่พอเหมาะพอควร" อัล-อะห์ซาบ (33: 32)
... บางคนเข้าใจว่าศาสนาห้ามพูดเพราะๆ เลยต้องพูดจาหยาบๆ ผมเคยเจอมาแล้วคับ ผมถามว่าทำไมผู้หญิงคนนั้นถึงผู้จาหยาบๆ มีคนบอกว่า ผู้หญิงคนนั้นบอกว่า ศาสนาห้ามพูดเพราะ ?
ความจริงคือ ศาสนาห้ามพูดเพราะแต่ก็ไม่ให้พูดหยาบ แต่ให้อยู่ตรงกลางระหว่างนั้นคับ พูดอย่างพอเหมาะพอควร
การเดิน
อย่าเดินเชิดหน้าอย่างหยิ่งผยอง
อย่าเดินก้มหน้าจนเกินไป
ให้การเดินอยู่ตรงกลางระหว่างนั้น
وَاقْصِدْ فِي مَشْيِكَ وَاغْضُضْ مِنْ صَوْتِكَ ۚ إِنَّ أَنْكَرَ الْأَصْوَاتِ لَصَوْتُ الْحَمِيرِ
“และเจ้าจงถือความปานกลางเป็นเกณฑ์ในการเดินของเจ้า” ลุกมาน (31:19)
การนึกคิด
คิดมากเกินก็ไม่ดี
คิดน้อยเกินก็ไม่ดี
ต้องอยู่ตรงกลางระหว่างนั้น
การงานของโลกนี้กับโลกหน้า
เอาแต่ดุนยาก็ไม่ดี เอาแต่โลกหน้าก็อยู่ลำบาก ต้องอยู่ตรงกลางระหว่างนั้น คือ เอาทั้งโลกนี้และโลกหน้า
رَبَّنَا آتِنَا فِي الدُّنْيَا حَسَنَةً وَفِي الْآخِرَةِ حَسَنَةً وَقِنَا عَذَابَ النَّارِ
โอ้พระเจ้าของเรา โปรดประทานให้แก่พวกเรา ซึ่งสิ่งดีงามในโลกนี้ และสิ่งดีงามในโลกหน้าและโปรดคุ้มครองพวกเราให้พ้นจากลงโทษแห่งไฟนรกด้วยเถิด
ที่กล่าวมานี้คือ ส่วนหนึ่งของความหมายของการใช้ชีวิตบนคำว่า "แนวทางที่เที่ยงตรง" คือการปฏิบัติตัวให้อยู่ในเส้นทางสายกลาง เส้นทางของความพอดี แล้วเราจะผ่านสะพานศิรอตฯ ไปอย่างปลอดภัย อินชาอัลเลาะฮ์
เส้นทางสายกลาง
เส้นทางของชาวสวรรค์
อินชาอัลเลาะฮ์
ความหมายของสะพานศิรอตอลมุสตะกีม
สะพาน (อัศ-ศิร็อฏ) คือสะพานที่ถูกทอดผ่านนรกญะฮันนัม ในอัล-หะดีษใช้สำนวนว่า อัศ-ศิรอฏ (الصِّرَاطُ) และอัล-ญิสร์ (الجِسْرُ) ซึ่งแปลว่า สะพานหรือเส้นทางที่ใช้ข้าม ส่วนคำ อัศ-ศิรอฏ อัล-มุสตะกีม (اَلصِّرَاطُ المُسْتَقِيْمُ) นั้นหมายถึง หนทาง แนวทาง เส้นทาง วิถี หรือมรรคาอันเที่ยงตรง (ทางอันเที่ยงตรง)
สะพาน (อัศ-ศิรอฏ) ที่ถูกทอดผ่านขุมนรกญะฮันนัม นั่นคือสะพาน ส่วนศิรอฏ มุสตะกีม นั่นไม่ใช่สะพานแต่เป็นแนวทางของการศรัทธาและการปฏิบัติที่ถูกต้องเที่ยงตรง
ผู้ที่จะผ่านสะพานศิรอตฯ คือผู้ที่ปฏิบัติตัวอยู่ในแนวทางที่เที่ยงตรงเท่านั้น
แนวทางที่เที่ยงตรง คืออะไร ??
เที่ยง คือ "กลาง"
เที่ยงธรรม คือ "ความเป็นกลาง ไม่โน้มเอียงไปข้างหนึ่งข้างใด"
แนวทางที่เที่ยงตรง คือ "การใช้ชีวิตบนเส้นทางสายกลางได้อย่างพอดี"
การปฎิบัติตัวอยู่ในเส้นทางสายกลางเป็นยังไง ยกตัวอย่าง เช่น
การอ่านในขณะละหมาด
"และอย่ายกเสียงดังในเวลาละหมาดของเจ้า และอย่าลดให้ค่อยเช่นกัน แต่จงแสวงหาทางระหว่างนั้น (ปานกลาง)"
อัลอิสรออฺ (17:110)
การใช้จ่าย
"และบรรดาผู้ที่เมื่อพวกเขาใช้จ่าย พวกเขาก็ไม่สุรุ่ยสุร่าย และไม่ตระหนี่ และระหว่างทั้งสองสภาพนั้น พวกเขาก็อยู่สายกลาง"
อัลฟุรกอน (25:67)
การพูดสำหรับผู้หญิง
."หากพวกเธอยำเกรง (อัลลอฮฺ) ก็ไม่ควรพูดจาเพราะพริ้งนัก เพราะจะทำให้ผู้ที่ในหัวใจของเขามีโรคเกิดความโลภ แต่จงพูดด้วยถ้อยคำที่พอเหมาะพอควร" อัล-อะห์ซาบ (33: 32)
... บางคนเข้าใจว่าศาสนาห้ามพูดเพราะๆ เลยต้องพูดจาหยาบๆ ผมเคยเจอมาแล้วคับ ผมถามว่าทำไมผู้หญิงคนนั้นถึงผู้จาหยาบๆ มีคนบอกว่า ผู้หญิงคนนั้นบอกว่า ศาสนาห้ามพูดเพราะ ?
ความจริงคือ ศาสนาห้ามพูดเพราะแต่ก็ไม่ให้พูดหยาบ แต่ให้อยู่ตรงกลางระหว่างนั้นคับ พูดอย่างพอเหมาะพอควร
การเดิน
อย่าเดินเชิดหน้าอย่างหยิ่งผยอง
อย่าเดินก้มหน้าจนเกินไป
ให้การเดินอยู่ตรงกลางระหว่างนั้น
وَاقْصِدْ فِي مَشْيِكَ وَاغْضُضْ مِنْ صَوْتِكَ ۚ إِنَّ أَنْكَرَ الْأَصْوَاتِ لَصَوْتُ الْحَمِيرِ
“และเจ้าจงถือความปานกลางเป็นเกณฑ์ในการเดินของเจ้า” ลุกมาน (31:19)
การนึกคิด
คิดมากเกินก็ไม่ดี
คิดน้อยเกินก็ไม่ดี
ต้องอยู่ตรงกลางระหว่างนั้น
การงานของโลกนี้กับโลกหน้า
เอาแต่ดุนยาก็ไม่ดี เอาแต่โลกหน้าก็อยู่ลำบาก ต้องอยู่ตรงกลางระหว่างนั้น คือ เอาทั้งโลกนี้และโลกหน้า
رَبَّنَا آتِنَا فِي الدُّنْيَا حَسَنَةً وَفِي الْآخِرَةِ حَسَنَةً وَقِنَا عَذَابَ النَّارِ
โอ้พระเจ้าของเรา โปรดประทานให้แก่พวกเรา ซึ่งสิ่งดีงามในโลกนี้ และสิ่งดีงามในโลกหน้าและโปรดคุ้มครองพวกเราให้พ้นจากลงโทษแห่งไฟนรกด้วยเถิด
ที่กล่าวมานี้คือ ส่วนหนึ่งของความหมายของการใช้ชีวิตบนคำว่า "แนวทางที่เที่ยงตรง" คือการปฏิบัติตัวให้อยู่ในเส้นทางสายกลาง เส้นทางของความพอดี แล้วเราจะผ่านสะพานศิรอตฯ ไปอย่างปลอดภัย อินชาอัลเลาะฮ์
เส้นทางสายกลาง
เส้นทางของชาวสวรรค์
อินชาอัลเลาะฮ์
ไสยศาสตร์ กับความเชื่อของอิสลาม
ไสยศาสตร์
หลายคนอาจยังสงสัยว่าไสยศาสตร์มีจริงหรือไม่ ?
บอกได้เลยว่า "ไสยศาสตร์มีจริง" และมีกล่าวไว้ในอัลกรุอ่านอย่างชัดเจน
... อัลเลาะฮ์ได้ประทานวิชาไสยศาสตร์ให้แก่มาลักสองท่านคือ ฮารูต และ มารูต เพื่อเป็นบดทดสอบแก่มวลมนุษย์
✴ อัลบากอเราะฮฺ (2:102)
وَاتَّبَعُوا مَا تَتْلُو الشَّيَاطِينُ عَلَىٰ مُلْكِ سُلَيْمَانَ ۖ وَمَا كَفَرَ سُلَيْمَانُ وَلَٰكِنَّ الشَّيَاطِينَ كَفَرُوا يُعَلِّمُونَ النَّاسَ السِّحْرَ وَمَا أُنْزِلَ عَلَى الْمَلَكَيْنِ بِبَابِلَ هَارُوتَ وَمَارُوتَ ۚ وَمَا يُعَلِّمَانِ مِنْ أَحَدٍ حَتَّىٰ يَقُولَا إِنَّمَا نَحْنُ فِتْنَةٌ فَلَا تَكْفُرْ ۖ فَيَتَعَلَّمُونَ مِنْهُمَا مَا يُفَرِّقُونَ بِهِ بَيْنَ الْمَرْءِ وَزَوْجِهِ ۚ وَمَا هُمْ بِضَارِّينَ بِهِ مِنْ أَحَدٍ إِلَّا بِإِذْنِ اللَّهِ ۚ وَيَتَعَلَّمُونَ مَا يَضُرُّهُمْ وَلَا يَنْفَعُهُمْ ۚ وَلَقَدْ عَلِمُوا لَمَنِ اشْتَرَاهُ مَا لَهُ فِي الْآخِرَةِ مِنْ خَلَاقٍ ۚ وَلَبِئْسَ مَا شَرَوْا بِهِ أَنْفُسَهُمْ ۚ لَوْ كَانُوا يَعْلَمُونَ
และพวกเขาได้ปฏิบัติตามสิ่งที่บรรดาชัยฏอน ในสมัยสุลัยมานอ่านให้ฟัง และสุลัยมานหาได้ปฏิเสธการศรัทธาไม่ แต่ทว่าชัยฏอนเหล่านั้นต่างหากที่ปฏิเสธการศรัทธา โดยสอนประชาชนซึ่งวิชาไสยศาสตร์และสิ่งที่ถูกประทานลงมา แก่มะลาอิกะฮ์ทั้งสอง คือ ฮารูต และมารูต ณ เมืองบาบิล และเขาทั้งสองจะไม่สอนให้แก่ผู้ใดจนกว่าจะกล่าวว่า แท้จริงเราเพียงเป็นผู้ทดสอบเท่านั้น ท่านจงอย่าปฏิเสธการศรัทธาเลย แล้วเขาเหล่านั้นก็ศึกษาจากเขาทั้งสอง สิ่งที่พวกเขาจะใช้มันยังความแตกแยกระหว่างบุคคลกับภรรยาของเขา และพวกเขาไม่อาจทำให้สิ่งนั้นเป็นอันตรายแก่ผู้ใดได้ นอกจากด้วยการอนุมัติของอัลลอฮฺเท่านั้น และพวกเขาก็เรียนสิ่งที่เป็นโทษแก่พวกเขา และมิใช่เป็นคุณแก่พวกเขา และแท้จริงนั้นพวกเขารู้แล้วว่าแน่นอนผู้ที่ซื้อมันไว้นั้น ในปรโลกก็ย่อมไม่มีส่วนได้ใด ๆ และแน่นอนเป็นสิ่งที่ชั่วช้าจริง ๆ ที่พวกเขาขายตัวของพวกเขาด้วยสิ่งนั้น หากพวกเขารู้
✴ ซูเราะห์อัลฟาลัก
1. จงกล่าวเถิด มุฮัมมัด ข้าพระองค์ขอความคุ้มครองต่อพระเจ้าแห่งรุ่งอรุณ
2. ให้พ้นจากความชั่วร้ายที่พระองค์ได้ทรงบันดาลขึ้น
3. และจากความชั่วร้ายแห่งความมืดของเวลากลางคืนเมื่อมันแผ่คลุม
4. และจากความชั่วร้ายของบรรดาผู้เสกเป่าในปมเงื่อน (ไสยศาสตร์)
5. และจากความชั่วร้ายของผู้อิจฉาเมื่อเขาอิจฉา
✴ ในซูเราะฮฺนี้ อัลลอฮฺ ตะอาลา ใช้ให้ขอความคุ้มครองจากความชั่วร้ายต่างๆ 4 อย่างด้วยกัน คือ
1.ความชั่วร้ายจากทุกสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นมา
2.ความชั่วร้ายจากสิ่งที่เกิดขึ้นในความมืดของเวลากลางคืน
3.ความชั่วร้ายของนักเสกเป่าเวทมนตร์คาถาในปมเงื่อนต่างๆ (ไสยศาสตร์)
4.ความชั่วร้ายของผู้อิจฉาเมื่อเขาอิจฉา
ความชั่วร้ายทั้ง 4 อย่างดังกล่าวมานี้ได้ครอบคลุมถึงทุก ๆ สิ่งที่เขากลัวจะเป็นอันตรายและเกิดโทษแก่เขา
✴ ท่านนบี (ซ.ล) เคยโดนไสยศาสตร์
เมื่อลุบัยดฺ อิบนุลอะฮฺศ็อม ชาวยิวได้ใช้เวทย์มนตร์เป่าท่านร่อซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม อัลลอฮฺ ตะอาลา จึงประทานสองซูเราะฮฺ อัลมุเอาวะซะไตนฺลงมา เป็นการสอนให้ท่านนะบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ขอความคุ้มครองต่อพระองค์ให้พ้นจากสิ่งชั่วร้ายต่าง ๆ ที่พระองค์ทรงสร้างมาทั้งหมดในจักรวาล สิ่งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต การที่อัลลอฮฺ ตะอาลา ทรงใช้ให้ท่านนะบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ขอความคุ้มครองต่อพระองค์ คือพระเจ้าแห่งรุ่งอรุณ ก็เพราะว่าเวลารุ่งอรุณเป็นเวลาที่สำคัญควรให้ความสนใจ และเวลารุ่งอรุณเป็นเวลาที่แสงสว่างในตอนเช้าได้เริ่มฉายแสงออกมา หลังจากที่ความมืดได้ปกคลุมมันในระยะเวลาหนึ่ง
✴ ฮาดิษที่กล่าวถึง ไสยศาสตร์
รายงานจากท่านซะอฺด บินอะบีวักกอส รอฎอยัลลอฮุอันฮุ ว่าแท้จริง ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า
“ผู้ใดรับประทานอินทผลัมอัจวะฮฺ 7 เม็ดในยามเช้า พิษต่างๆและไสยศาสตร์ไม่สามารถทำอันตรายแก่เขาได้ในวันนั้น” บันทึกโดยบุคอรี
✴ ปล.ถ้าใครกล่าวว่าไสยศาสตร์ไม่มีจริง เท่ากับว่าเขาได้ปฏิเสธอายะฮ์และฮาดิษเหล่านี้
หลายคนอาจยังสงสัยว่าไสยศาสตร์มีจริงหรือไม่ ?
บอกได้เลยว่า "ไสยศาสตร์มีจริง" และมีกล่าวไว้ในอัลกรุอ่านอย่างชัดเจน
... อัลเลาะฮ์ได้ประทานวิชาไสยศาสตร์ให้แก่มาลักสองท่านคือ ฮารูต และ มารูต เพื่อเป็นบดทดสอบแก่มวลมนุษย์
✴ อัลบากอเราะฮฺ (2:102)
وَاتَّبَعُوا مَا تَتْلُو الشَّيَاطِينُ عَلَىٰ مُلْكِ سُلَيْمَانَ ۖ وَمَا كَفَرَ سُلَيْمَانُ وَلَٰكِنَّ الشَّيَاطِينَ كَفَرُوا يُعَلِّمُونَ النَّاسَ السِّحْرَ وَمَا أُنْزِلَ عَلَى الْمَلَكَيْنِ بِبَابِلَ هَارُوتَ وَمَارُوتَ ۚ وَمَا يُعَلِّمَانِ مِنْ أَحَدٍ حَتَّىٰ يَقُولَا إِنَّمَا نَحْنُ فِتْنَةٌ فَلَا تَكْفُرْ ۖ فَيَتَعَلَّمُونَ مِنْهُمَا مَا يُفَرِّقُونَ بِهِ بَيْنَ الْمَرْءِ وَزَوْجِهِ ۚ وَمَا هُمْ بِضَارِّينَ بِهِ مِنْ أَحَدٍ إِلَّا بِإِذْنِ اللَّهِ ۚ وَيَتَعَلَّمُونَ مَا يَضُرُّهُمْ وَلَا يَنْفَعُهُمْ ۚ وَلَقَدْ عَلِمُوا لَمَنِ اشْتَرَاهُ مَا لَهُ فِي الْآخِرَةِ مِنْ خَلَاقٍ ۚ وَلَبِئْسَ مَا شَرَوْا بِهِ أَنْفُسَهُمْ ۚ لَوْ كَانُوا يَعْلَمُونَ
และพวกเขาได้ปฏิบัติตามสิ่งที่บรรดาชัยฏอน ในสมัยสุลัยมานอ่านให้ฟัง และสุลัยมานหาได้ปฏิเสธการศรัทธาไม่ แต่ทว่าชัยฏอนเหล่านั้นต่างหากที่ปฏิเสธการศรัทธา โดยสอนประชาชนซึ่งวิชาไสยศาสตร์และสิ่งที่ถูกประทานลงมา แก่มะลาอิกะฮ์ทั้งสอง คือ ฮารูต และมารูต ณ เมืองบาบิล และเขาทั้งสองจะไม่สอนให้แก่ผู้ใดจนกว่าจะกล่าวว่า แท้จริงเราเพียงเป็นผู้ทดสอบเท่านั้น ท่านจงอย่าปฏิเสธการศรัทธาเลย แล้วเขาเหล่านั้นก็ศึกษาจากเขาทั้งสอง สิ่งที่พวกเขาจะใช้มันยังความแตกแยกระหว่างบุคคลกับภรรยาของเขา และพวกเขาไม่อาจทำให้สิ่งนั้นเป็นอันตรายแก่ผู้ใดได้ นอกจากด้วยการอนุมัติของอัลลอฮฺเท่านั้น และพวกเขาก็เรียนสิ่งที่เป็นโทษแก่พวกเขา และมิใช่เป็นคุณแก่พวกเขา และแท้จริงนั้นพวกเขารู้แล้วว่าแน่นอนผู้ที่ซื้อมันไว้นั้น ในปรโลกก็ย่อมไม่มีส่วนได้ใด ๆ และแน่นอนเป็นสิ่งที่ชั่วช้าจริง ๆ ที่พวกเขาขายตัวของพวกเขาด้วยสิ่งนั้น หากพวกเขารู้
✴ ซูเราะห์อัลฟาลัก
1. จงกล่าวเถิด มุฮัมมัด ข้าพระองค์ขอความคุ้มครองต่อพระเจ้าแห่งรุ่งอรุณ
2. ให้พ้นจากความชั่วร้ายที่พระองค์ได้ทรงบันดาลขึ้น
3. และจากความชั่วร้ายแห่งความมืดของเวลากลางคืนเมื่อมันแผ่คลุม
4. และจากความชั่วร้ายของบรรดาผู้เสกเป่าในปมเงื่อน (ไสยศาสตร์)
5. และจากความชั่วร้ายของผู้อิจฉาเมื่อเขาอิจฉา
✴ ในซูเราะฮฺนี้ อัลลอฮฺ ตะอาลา ใช้ให้ขอความคุ้มครองจากความชั่วร้ายต่างๆ 4 อย่างด้วยกัน คือ
1.ความชั่วร้ายจากทุกสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นมา
2.ความชั่วร้ายจากสิ่งที่เกิดขึ้นในความมืดของเวลากลางคืน
3.ความชั่วร้ายของนักเสกเป่าเวทมนตร์คาถาในปมเงื่อนต่างๆ (ไสยศาสตร์)
4.ความชั่วร้ายของผู้อิจฉาเมื่อเขาอิจฉา
ความชั่วร้ายทั้ง 4 อย่างดังกล่าวมานี้ได้ครอบคลุมถึงทุก ๆ สิ่งที่เขากลัวจะเป็นอันตรายและเกิดโทษแก่เขา
✴ ท่านนบี (ซ.ล) เคยโดนไสยศาสตร์
เมื่อลุบัยดฺ อิบนุลอะฮฺศ็อม ชาวยิวได้ใช้เวทย์มนตร์เป่าท่านร่อซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม อัลลอฮฺ ตะอาลา จึงประทานสองซูเราะฮฺ อัลมุเอาวะซะไตนฺลงมา เป็นการสอนให้ท่านนะบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ขอความคุ้มครองต่อพระองค์ให้พ้นจากสิ่งชั่วร้ายต่าง ๆ ที่พระองค์ทรงสร้างมาทั้งหมดในจักรวาล สิ่งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต การที่อัลลอฮฺ ตะอาลา ทรงใช้ให้ท่านนะบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ขอความคุ้มครองต่อพระองค์ คือพระเจ้าแห่งรุ่งอรุณ ก็เพราะว่าเวลารุ่งอรุณเป็นเวลาที่สำคัญควรให้ความสนใจ และเวลารุ่งอรุณเป็นเวลาที่แสงสว่างในตอนเช้าได้เริ่มฉายแสงออกมา หลังจากที่ความมืดได้ปกคลุมมันในระยะเวลาหนึ่ง
✴ ฮาดิษที่กล่าวถึง ไสยศาสตร์
รายงานจากท่านซะอฺด บินอะบีวักกอส รอฎอยัลลอฮุอันฮุ ว่าแท้จริง ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า
“ผู้ใดรับประทานอินทผลัมอัจวะฮฺ 7 เม็ดในยามเช้า พิษต่างๆและไสยศาสตร์ไม่สามารถทำอันตรายแก่เขาได้ในวันนั้น” บันทึกโดยบุคอรี
✴ ปล.ถ้าใครกล่าวว่าไสยศาสตร์ไม่มีจริง เท่ากับว่าเขาได้ปฏิเสธอายะฮ์และฮาดิษเหล่านี้
ผมทรงโหนกอูฐที่เดินตะแคง คือ แบบใหน
... ท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวว่า
"บุคคลสามจำพวกที่อยู่ในนรก ซึ่งฉันไม่คยพบเห็นมาก่อน...
คือผู้หญิงทีเดินยักย้ายไปมา (ด้วยท่าท่างที่ยั่วยวน) สวมเสื้อผ้าที่เหมือนเปลือยกาย (ใส่แต่เหมือนไม่ได้ใส่ เพราะโชว์เอารัต) นางมีผมสูงเปรียบเสมือนโหนกของอูฐที่เดินตะแคง ผู้ที่ถือแส้ประหนึ่งหางวัว ใช้เฆี่ยนตีผู้คนพวกเหล่านั้นจะไม่ได้เข้าสวรรค์ และจะไม่ได้พบแม้แต่กลิ่นหอมของสวรรค์..."
(บันทึกโดย มุสลิม ในหนังสือเศาะหฺของท่าน)
4ข้อ ลักษณะของชาวนรก ที่ได้กล่าวไว้ในฮาดิษข้างต้น
ถ้ารวม 4 ลักษณะเข้าด้วยกัน คำตอบที่ได้ก็ตามภาพที่เห็น
"นั้นแหละ คือ คำตอบของฮาดิษนี้"
"บุคคลสามจำพวกที่อยู่ในนรก ซึ่งฉันไม่คยพบเห็นมาก่อน...
คือผู้หญิงทีเดินยักย้ายไปมา (ด้วยท่าท่างที่ยั่วยวน) สวมเสื้อผ้าที่เหมือนเปลือยกาย (ใส่แต่เหมือนไม่ได้ใส่ เพราะโชว์เอารัต) นางมีผมสูงเปรียบเสมือนโหนกของอูฐที่เดินตะแคง ผู้ที่ถือแส้ประหนึ่งหางวัว ใช้เฆี่ยนตีผู้คนพวกเหล่านั้นจะไม่ได้เข้าสวรรค์ และจะไม่ได้พบแม้แต่กลิ่นหอมของสวรรค์..."
(บันทึกโดย มุสลิม ในหนังสือเศาะหฺของท่าน)
4ข้อ ลักษณะของชาวนรก ที่ได้กล่าวไว้ในฮาดิษข้างต้น
ถ้ารวม 4 ลักษณะเข้าด้วยกัน คำตอบที่ได้ก็ตามภาพที่เห็น
"นั้นแหละ คือ คำตอบของฮาดิษนี้"
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)