ไสยศาสตร์ กับความเชื่อของอิสลาม

ไสยศาสตร์
หลายคนอาจยังสงสัยว่าไสยศาสตร์มีจริงหรือไม่ ?
บอกได้เลยว่า "ไสยศาสตร์มีจริง" และมีกล่าวไว้ในอัลกรุอ่านอย่างชัดเจน
... อัลเลาะฮ์ได้ประทานวิชาไสยศาสตร์ให้แก่มาลักสองท่านคือ ฮารูต และ มารูต เพื่อเป็นบดทดสอบแก่มวลมนุษย์

อัลบากอเราะฮฺ (2:102)

وَاتَّبَعُوا مَا تَتْلُو الشَّيَاطِينُ عَلَىٰ مُلْكِ سُلَيْمَانَ ۖ وَمَا كَفَرَ سُلَيْمَانُ وَلَٰكِنَّ الشَّيَاطِينَ كَفَرُوا يُعَلِّمُونَ النَّاسَ السِّحْرَ وَمَا أُنْزِلَ عَلَى الْمَلَكَيْنِ بِبَابِلَ هَارُوتَ وَمَارُوتَ ۚ وَمَا يُعَلِّمَانِ مِنْ أَحَدٍ حَتَّىٰ يَقُولَا إِنَّمَا نَحْنُ فِتْنَةٌ فَلَا تَكْفُرْ ۖ فَيَتَعَلَّمُونَ مِنْهُمَا مَا يُفَرِّقُونَ بِهِ بَيْنَ الْمَرْءِ وَزَوْجِهِ ۚ وَمَا هُمْ بِضَارِّينَ بِهِ مِنْ أَحَدٍ إِلَّا بِإِذْنِ اللَّهِ ۚ وَيَتَعَلَّمُونَ مَا يَضُرُّهُمْ وَلَا يَنْفَعُهُمْ ۚ وَلَقَدْ عَلِمُوا لَمَنِ اشْتَرَاهُ مَا لَهُ فِي الْآخِرَةِ مِنْ خَلَاقٍ ۚ وَلَبِئْسَ مَا شَرَوْا بِهِ أَنْفُسَهُمْ ۚ لَوْ كَانُوا يَعْلَمُونَ

และพวกเขาได้ปฏิบัติตามสิ่งที่บรรดาชัยฏอน ในสมัยสุลัยมานอ่านให้ฟัง และสุลัยมานหาได้ปฏิเสธการศรัทธาไม่ แต่ทว่าชัยฏอนเหล่านั้นต่างหากที่ปฏิเสธการศรัทธา โดยสอนประชาชนซึ่งวิชาไสยศาสตร์และสิ่งที่ถูกประทานลงมา แก่มะลาอิกะฮ์ทั้งสอง คือ ฮารูต และมารูต ณ เมืองบาบิล และเขาทั้งสองจะไม่สอนให้แก่ผู้ใดจนกว่าจะกล่าวว่า แท้จริงเราเพียงเป็นผู้ทดสอบเท่านั้น ท่านจงอย่าปฏิเสธการศรัทธาเลย แล้วเขาเหล่านั้นก็ศึกษาจากเขาทั้งสอง สิ่งที่พวกเขาจะใช้มันยังความแตกแยกระหว่างบุคคลกับภรรยาของเขา และพวกเขาไม่อาจทำให้สิ่งนั้นเป็นอันตรายแก่ผู้ใดได้ นอกจากด้วยการอนุมัติของอัลลอฮฺเท่านั้น และพวกเขาก็เรียนสิ่งที่เป็นโทษแก่พวกเขา และมิใช่เป็นคุณแก่พวกเขา และแท้จริงนั้นพวกเขารู้แล้วว่าแน่นอนผู้ที่ซื้อมันไว้นั้น ในปรโลกก็ย่อมไม่มีส่วนได้ใด ๆ และแน่นอนเป็นสิ่งที่ชั่วช้าจริง ๆ ที่พวกเขาขายตัวของพวกเขาด้วยสิ่งนั้น หากพวกเขารู้

ซูเราะห์อัลฟาลัก
1. จงกล่าวเถิด มุฮัมมัด ข้าพระองค์ขอความคุ้มครองต่อพระเจ้าแห่งรุ่งอรุณ
2. ให้พ้นจากความชั่วร้ายที่พระองค์ได้ทรงบันดาลขึ้น
3. และจากความชั่วร้ายแห่งความมืดของเวลากลางคืนเมื่อมันแผ่คลุม
4. และจากความชั่วร้ายของบรรดาผู้เสกเป่าในปมเงื่อน (ไสยศาสตร์)
5. และจากความชั่วร้ายของผู้อิจฉาเมื่อเขาอิจฉา

✴ ในซูเราะฮฺนี้ อัลลอฮฺ ตะอาลา ใช้ให้ขอความคุ้มครองจากความชั่วร้ายต่างๆ 4 อย่างด้วยกัน คือ
1.ความชั่วร้ายจากทุกสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นมา
2.ความชั่วร้ายจากสิ่งที่เกิดขึ้นในความมืดของเวลากลางคืน
3.ความชั่วร้ายของนักเสกเป่าเวทมนตร์คาถาในปมเงื่อนต่างๆ (ไสยศาสตร์)
4.ความชั่วร้ายของผู้อิจฉาเมื่อเขาอิจฉา
ความชั่วร้ายทั้ง 4 อย่างดังกล่าวมานี้ได้ครอบคลุมถึงทุก ๆ สิ่งที่เขากลัวจะเป็นอันตรายและเกิดโทษแก่เขา

ท่านนบี (ซ.ล) เคยโดนไสยศาสตร์
เมื่อลุบัยดฺ อิบนุลอะฮฺศ็อม ชาวยิวได้ใช้เวทย์มนตร์เป่าท่านร่อซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม อัลลอฮฺ ตะอาลา จึงประทานสองซูเราะฮฺ อัลมุเอาวะซะไตนฺลงมา เป็นการสอนให้ท่านนะบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ขอความคุ้มครองต่อพระองค์ให้พ้นจากสิ่งชั่วร้ายต่าง ๆ ที่พระองค์ทรงสร้างมาทั้งหมดในจักรวาล สิ่งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต การที่อัลลอฮฺ ตะอาลา ทรงใช้ให้ท่านนะบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ขอความคุ้มครองต่อพระองค์ คือพระเจ้าแห่งรุ่งอรุณ ก็เพราะว่าเวลารุ่งอรุณเป็นเวลาที่สำคัญควรให้ความสนใจ และเวลารุ่งอรุณเป็นเวลาที่แสงสว่างในตอนเช้าได้เริ่มฉายแสงออกมา หลังจากที่ความมืดได้ปกคลุมมันในระยะเวลาหนึ่ง

ฮาดิษที่กล่าวถึง ไสยศาสตร์
รายงานจากท่านซะอฺด บินอะบีวักกอส รอฎอยัลลอฮุอันฮุ ว่าแท้จริง ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า
“ผู้ใดรับประทานอินทผลัมอัจวะฮฺ 7 เม็ดในยามเช้า พิษต่างๆและไสยศาสตร์ไม่สามารถทำอันตรายแก่เขาได้ในวันนั้น”  บันทึกโดยบุคอรี

ปล.ถ้าใครกล่าวว่าไสยศาสตร์ไม่มีจริง เท่ากับว่าเขาได้ปฏิเสธอายะฮ์และฮาดิษเหล่านี้

ผมทรงโหนกอูฐที่เดินตะแคง คือ แบบใหน

... ท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวว่า
"บุคคลสามจำพวกที่อยู่ในนรก ซึ่งฉันไม่คยพบเห็นมาก่อน...
คือผู้หญิงทีเดินยักย้ายไปมา (ด้วยท่าท่างที่ยั่วยวน) สวมเสื้อผ้าที่เหมือนเปลือยกาย (ใส่แต่เหมือนไม่ได้ใส่ เพราะโชว์เอารัต) นางมีผมสูงเปรียบเสมือนโหนกของอูฐที่เดินตะแคง ผู้ที่ถือแส้ประหนึ่งหางวัว ใช้เฆี่ยนตีผู้คนพวกเหล่านั้นจะไม่ได้เข้าสวรรค์ และจะไม่ได้พบแม้แต่กลิ่นหอมของสวรรค์..."
(บันทึกโดย มุสลิม ในหนังสือเศาะหฺของท่าน)
4ข้อ ลักษณะของชาวนรก ที่ได้กล่าวไว้ในฮาดิษข้างต้น
ถ้ารวม 4 ลักษณะเข้าด้วยกัน คำตอบที่ได้ก็ตามภาพที่เห็น
"นั้นแหละ คือ คำตอบของฮาดิษนี้"

การดะวะฮ์ ในอัลกรุอ่าน

การดะวะฮ์ ในอัลกรุอ่าน
อัลกุรอาน: Aal-i-Imraan (3:104)

وَلْتَكُنْ مِنْكُمْ أُمَّةٌ يَدْعُونَ إِلَى الْخَيْرِ وَيَأْمُرُونَ بِالْمَعْرُوفِ وَيَنْهَوْنَ عَنِ الْمُنْكَرِ ۚ وَأُولَٰئِكَ هُمُ الْمُفْلِحُونَ

และจงให้มีขึ้นจากพวกเจ้า ซึ่งคณะหนึ่งที่จะเชิญชวนไปสู่ความดีและใช้ให้กระทำสิ่งที่ดี และห้ามมิให้กระทำสิ่งที่ไม่ดีและชนเหล่านี้แหละพวกเขาคือผู้ได้รับความสำเร็จ


อัลกุรอาน: An-Nahl (16:125)

ادْعُ إِلَىٰ سَبِيلِ رَبِّكَ بِالْحِكْمَةِ وَالْمَوْعِظَةِ الْحَسَنَةِ ۖ وَجَادِلْهُمْ بِالَّتِي هِيَ أَحْسَنُ ۚ إِنَّ رَبَّكَ هُوَ أَعْلَمُ بِمَنْ ضَلَّ عَنْ سَبِيلِهِ ۖ وَهُوَ أَعْلَمُ بِالْمُهْتَدِينَ

จงเรียกร้องสู่แนวทางแห่งพระเจ้าของสูเจ้าโดยสุขุม และการตักเตือนที่ดี และจงโต้แย้งพวกเขาด้วยสิ่งที่ดีกว่า แท้จริงพระเจ้าของพระองค์และพระองค์ทรงรู้ดียิ่งถึงบรรดาผู้ที่อยู่ในทางที่ถูกต้อง


การคลุมฮิญาบที่ถูกต้อง

    อัลอะหฺซาบ อายะที่ 59
ความว่า โอ้นบีเอ๋ย จงกล่าวกับบรรดาภรรยาของเจ้า และบุตรหญิงของเจ้า และบรรดาหญิงของบรรดาผู้ศรัทธา ให้พวกนาง ดึงผ้าคลุมของพวกนาง ลงมาปิดบนตัวของพวกนาง นั้นเป็นการเหมาะสมกว่าการที่พวกนางจะเป็นที่รู้จัก (ถึงสัดส่วนของพวกนาง) เพื่อพวกนางจะไม่ถูกรบกวน (ลวนลามทางเพศ) และอัลเลาะฮ์ทรงเป็นผู้อภัยผู้ทรงเมตตาเสมอ

    ฮาดิษ
ท่านรอซูล ได้ให้ฉันใส่เสื้อคลุมตัวหนึ่งที่เป็นแบบกิบฏี
ยะฮ์ (เผ่าหนึ่งในอียิปต์) อย่างหนา ซึ่งเดี๋ยะห์ยะฮ์อัลกัลบีย์ ได้ให้เป็นของขวัญแก่ท่านมา แล้วฉันก็ได้เอาให้ภรรยาของฉันใส่ ดังนั้น ท่านรอซูล จึงได้พูดกับฉันว่า ทำไมเจ้าจึงไม่ใส่เสื้ออัลกิบฏียะฮ์ ตัวนั้นเล่า ?
โอ้รอซูล ฉันได้ให้ภรรยาของฉันใส่
ท่านเราะซูล จึงได้บอกกับฉันว่า เจ้าจงใช้ให้นางสวมใส่เสื้อข้างในอีกตัวหนึ่ง ฉันกลัวว่าเสื้อคลุมตัวนั้นจะเผยให้เห็น"ขนาดของรูปทรงของนาง"
อิมามอะหมัด ได้รายงานไว้ในหนังสือ มุสนัด จากอุซัยมะฮ์ บิน ไซยด์บ

    ฮาดิษ
ในขณะที่ท่านนบีอยู่ในบ้านของท่าน ได้มีญาติผู้หญิงของท่านเดินเข้ามาในครัวของท่าน โดยที่ผ้าคลุมของนางขึ้นไปอยู่ที่ต้นคอของนาง (ดูในรูปที่1) เสื้อของนางก็บาง จนเกือบจะเห็นชั้นใน ท่านนบีเห็นดังนั้น รีบเบือนหน้าหนี แล้วบอกให้ญาติหญิงท่านนั้น ให้ดึงผ้าคลุมลงมาปกปิดบนร่างกายของนาง (ดูรูปที่2) ซึ่งฮาดิษบทนี้ มันไปเชื่อมโยงกับอัลกรุอ่านอายะนี้ที่ว่า "ให้พวกนางดึงผ้าคลุมลงมาปิดบนตัวของพวกนาง"

วัลลอฮฺอลัม